วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

มะเร็งเต้านม โรคร้ายอันดับ 1 ของผู้หญิงชาวกรุง



ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเท่าเทียมกัน วงการแพทย์ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่ามะเร็งเต้านมเกิดจากสาเหตุใด จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลเด็ดขาด วิธีที่ดีที่สุดที่ทำได้ขณะนี้คือ ต้องค้นหามะเร็งเต้านมให้พบโดยเร็วที่สุด ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก่อนที่มะเร็งจะลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ และทำให้เสียชีวิต
ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงบางคนมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่นๆ คือเรื่องของกรรมพันธุ์ และวิถีในการดำเนินชีวิต ผู้หญิงควรหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของขนาด และรูปร่างของเต้านม อาการบวมที่รักแร้ เพราะต่อมน้ำเหลืองโต ผิวหนังที่เปลี่ยนแปลง เช่น มีรอยบุ๋ม ย่น หดตัว หนาผิดปกติ หรือ บางส่วนเป็นสะเก็ด หัวนมมีการหดตัว คัน หรือแดงผิดปกติ มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม (ร้อยละ ๒๐ ของการมีเลือดออกเป็นมะเร็ง)
จากสถิติพบว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๙๐) มีก้อนที่เต้านม แต่อย่าตกใจไป เพราะก้อนในเต้านมที่พบ ใน ๑๐๐ รายมีเพียง ๑๕-๒๐ ราย เท่านั้นที่จะเป็นมะเร็งเต้านม

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ มะเร็งเต้านม
๑. สาเหตุของการเป็นมะเร็งเต้านม ไม่เกี่ยวกับการถูกกระแทก การถูก จับหรือลูบคลำ และมะเร็งเต้านมไม่ใช่เป็นโรคติดต่อ
๒. ถ้าประวัติครอบครัวมีแม่เป็นมะเร็งเต้านม ลูกสาวก็จะมีความเสี่ยงเพิ่ม ยิ่งถ้าทั้งแม่ พี่สาว หรือน้องสาวเป็นมะเร็งเต้านมพร้อมกัน จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น
๓. ผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูก จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงที่เคยมีลูกและ ผู้หญิงที่มีลูกหลังอายุ ๓๐ ปี จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มมากกว่าผู้หญิงที่ไม่มีลูก
๔. ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกตั้งแต่อายุน้อย เช่น อายุ ๑๑ ปี ก็เริ่มมีประจำเดือนแล้วและอีกกลุ่มหนึ่งผู้หญิงที่อยู่ในวัยทอง ระหว่างอายุ ๕๐-๕๕ ปี มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
๕. ผู้หญิงที่มีประวัติการเป็นซีสต์ (cyst) หรือถุงน้ำ ไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม แต่ควรจะตรวจเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์
๖. การกินอาหารที่มีไขมันสูงอาจส่งผลและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ผู้หญิงควรกินอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม เน้นอาหารที่มีกากใยมากและอาหารไขมันต่ำ รวมถึงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
๗. ฮอร์โมนไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม แต่ถ้ามีการใช้ฮอร์โมนในขณะที่มีมะเร็งเต้านมจะทำให้มะเร็งเต้านมเติบโตเร็วขึ้น

สรุปคือ ผู้หญิงทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมเท่าๆ กัน เพราะผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ ๗๕ ไม่ได้มีความเสี่ยงที่กล่าวข้างต้น


ดูแลเต้านมตัวเอง(Breast care) ก่อนเสี่ยงมะเร็งเต้านม



การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast self-examination)
1. ยืนหน้ากระจก
- ปล่อยแขนข้างลําตัวตามสบายเปรียบเทียบเต้านมทั้งสองข้างว่ามีการบิดเบี้ยวของหัวนมหรือมีสิ่งผิดปกติหรือไม่
- ประสานมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะแล้วกลับมาอยู่ในท่าเท้าสะเอวพร้อมสํารวจหาสิ่งผิดปกติ
- ให้โค้งตัวมาข้างหน้าโดยใช้มือทั้งสองข้างวางบนเข่า หรือเก้าอี้ในท่านี้เต้านมจะห้อยลงไปตรงๆ หากมีสิ่งผิดปกติก็จะเห็นได้ชัดมากขึ้น
2. นอนราบ
- นอนในท่าสบายและสอดหมอนหรือม้วนผ้าใต้ไหลซ้าย
- ยกแขนซ้ายเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมด้านซ้ายแผ่ราบซึ่งจะทําให้คลําพบก้อนเนื้อได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะส่วนบนด้านนอกซึ่งมีเนื้อมากที่สุดและมีการเกิดมะเร็งมากที่สุด
- ให้ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนางคลําทั่วทั้งเต้านมและรักแร้ที่สําคัญคือ ห้ามบีบเนื้อเต้านมเพราะจะทําให้รู้สึกเหมือนเจอก้อนเนื้อซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่
3. ขณะอาบน้ำ
สําหรับผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดเล็กให้วางมือข้างเดียวกับเต้านมที่ต้องการตรวจบนศีรษะแล้วใช้มืออีกข้างคลําในทิศทางเดียวกับที่คุณใช้ในท่านอน

สําหรับผู้ที่มีเต้านมขนาดใหญ่ให้ใช้มือข้างนั้นประคอง และตรวจคลําเต้านมจากด้านล่างส่วนมืออีกข้างหนึ่งให้ตรวจคลําจากด้านบน ขณะอาบน้ำให้ถูสบู่ด้วยจะทําให้คลําได้ง่ายขึ้น

การป้องกัน
สาเหตุของการเกิดมะเร็งยังไม่ทราบแน่นอน การป้องกันที่ดีที่สุดคือ ค้นพบให้เร็วที่สุด ดังนั้นจึงควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจําเดือนละครั้ง (Breast self-examination), พบแพทย์ (physical examination) และตรวจเอกซเรย์เต้านม

วิธีตรวจหามะเร็งเต้านม ด้วยตนเองการตรวจ แบบนิ้วสัมผัส Triple Touch ตรวจมะเร็งเต้านม ด้วยตัวเอง

ร้อยละ 90 ของเนื้องอกในเต้านมของสตรีถูกพบครั้งแรกด้วยตนเอง การตรวจเต้านม ด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องจำเป็นและควรทำ ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยสาว เวลาที่เหมาะแก่การตรวจคือ หลังหมดประจำเดือน 7-10 วัน เพราะเป็นระยะที่เต้านมไม่บวม และ นิ่ม ทำให้ตรวจง่าย หากพบสิ่งผิดปรกติ หรือ สงสัย ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

วิธี ตรวจมะเร็งเต้านม ตรวจในท่านอน
ให้นอนราบลง วางหมอนไว้กลางหลัง ทาครีมหรือโลชั่นบนหน้าอกเล็กน้อย เวลาตรวจ ให้นิ้วนางและนิ้วกลางวางชิดให้เสมอกันเป็นพื้นเรียบ อย่าใช้ปลายนิ้ว เพราะจะดันให้ก้อนเนื้อออกห่างกัน ทำให้ตรวจไม่พบ ลูบไปเบาๆ จะช่วยหาก้อนเนื้อที่ยังเล็กมากๆ และ เคลื่อนที่ใต้ชั้นผิวหนัง อย่ากดแรงเกินไป เพราะก้อนเนื้ออาจเคลื่อนที่ไปได้
กดให้แรงขึ้น เพื่อตรวจบริเวณที่อยู่ลึกลงไป และ กดให้ทั่วถึงกระดูกซี่โครง ตรวจบริเวณใกล้กระดูกไหปลาร้า และ ใต้รักแร้ เนื่องจากมะเร็งเต้านม อาจกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง บริเวณใกล้กระดูกไหปลาร้า และ ใต้รักแร้ได้ จึงควรตรวจบริเวณดังกล่าวด้วย บริเวณที่มักตรวจพบเนื้องอก มะเร็งเต้านมมักจะเกิดขึ้นที่บริเวณ ต่างๆดังรูป

วิธี ตรวจมะเร็งเต้านม ส่องดูกระจก
หลังอาบน้ำแล้ว ให้ยืนหน้ากระจกและมองหาความเปลี่ยนแปลงของเต้านมซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ เช่นขนาดของเต้านมทั้งสองข้าง ลักษณะรูปทรง สีผิว หรือรอยบุ๋ม
จากนั้นมองหาความเปลี่ยนแปลงของเต้านมในท่ายกแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ และท่าประสานมือไว้ใต้คาง และผ่อนกล้ามเนื้อหน้าอก
เมื่อเสร็จแล้วให้ยกไหล่ขึ้น โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อดูว่าเต้านมทั้งสองของ ห้อยลงในลักษณะเดียวกันหรือไม่
สุดท้าย ค่อยๆบีบหัวนมดูว่ามีน้ำหรือเลือดไหลออกมาหรือไม่ โดยตรวจทั้งสองข้าง ดังรูป ถ้าพบว่ามีน้ำหรือเลือดผิดปกติ ให้รีบปรึกษาแพทย์

วิธี ตรวจมะเร็งเต้านม ตรวจขณะอาบน้ำ
โดยถูสบู่เป็นฟองน้อยให้ทั่วหน้าอก เพื่อให้มือลื่น สามารถเลื่อนไปบนผิวได้ง่ายขึ้น ยกแขนซ้ายขึ้นเหนือศีรษะ และเริ่ม ตรวจเต้านม ข้างซ้าย ด้วยมือขวา
ด้วยวิธีการเดียวกัน
ผ่าตัด มะเร็งเต้านม แบบใหม่



ลดอาการแขนบวมหลังผ่าได้ดีขึ้น
ปัจจุบันนี้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอยู่ที่ 7 คนต่อวัน และจะมีผู้ป่วยหน้าใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 10,000 คน มะเร็งเต้านมจึงถือว่าใกล้ตัวผู้หญิงมาก และการจะตรวจสอบว่าเป็นมะเร็งที่เต้านมหรือไม่ จะต้องเลาะต่อมน้ำเหลืองออกมา ซึ่ง การเลาะต่อมน้ำเหลืองนี่เองที่จำให้เกิดผลข้างเคียงคือ อาการแขนบวม รู้สึกชาใต้ท้องแขน การต้องค้างสายระบายน้ำเหลืองนานๆ และภาวะหัวไหล่ติด และที่แย่คือเราจะพบคนที่เป็นมะเร็ง 20-30% เท่านั้น นั่นเท่ากับว่าอีก 70-80% ที่ไม่ได้เป็นมะเร็งจึงเจ็บตัวฟรีกับการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองแบบเดิม

ดังนั้นทางการแพทย์จึงพยายามหาวิธีการแบบใหม่ นั่นก็คือการเลาะต่อมน้ำเหลืองแบบเซนตินอล ซึ่งเพียงมี 2 ขั้นตอน

+ ขั้นตอนที่ 1 ศัลยแพทย์จะฉีดสีพิเศษหรือสารกัมมันตรังสีเข้าไปที่บริเวณเต้านม เพื่อศึกษาทางเดินน้ำเหลืองว่ามะเร็งจะเคลื่อนที่ไปตามทางเดินน้ำเหลืองทางไหน ทิ้งไว้แค่ประมาณ 5-10 นาที

+ ขั้นตอนที่ 2 แพทย์จะผ่าตัดด้วยแผลขนาดเล็กที่รักแร้ เพื่อตัดต่อมน้ำเหลืองที่ติดสีหรือตรวจพบกัมมันตภาพรังสี หรือที่เรียกว่าต่อมน้ำเหลืองเซนติเนลนี่แหละแค่ 1-2 เม็ด แล้วก็ส่งให้พยาธิแพทย์ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ว่ามีการกระจายของเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลืองที่ตัดออกมาหรือไม่ ซึ่งจะทราบผลภายในเวลา 30-40 นาที

ถ้าพยาธิแพทย์ตรวจไม่พบเซลล์มะเร็ง ศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเลาะต่อมน้ำเหลืองที่เหลืออยู่ในระดับลึกลงไปออก ซึ่งข้อดีของการผ่าตัดลักษณะนี้ จะสามารถลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้แบบเดิม เช่น อาการแขนบวม รู้สึกชาใต้ท้องแขน การต้องค้างสายระบายน้ำเหลืองนานๆ และภาวะหัวไหล่ติดได้ อีกทั้งยังลดค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดและพักฟื้นของผู้ป่วยด้วย

ปัจจุบันนี้ทางสมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการผ่าตัดมะเร็งเต้านมแบบใหม่นี้ กับแพทย์ในโรงพยาบาลศูนย์ในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศทั้ง 8 จังหวัด คือเชียงราย พิษณุโลก นครสวรรค์ อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี และสงขลา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม สามารถได้รับการรักษาอย่างมีมาตรฐานที่ดีขึ้น


สวยแล้ว..สดชื่น..ทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น

แต่งหน้า แก้ไขรูปหน้า ให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง



เพื่อเพิ่มความมั่นใจ โดยที่ไม่ต้องโบ๊ะหน้าให้เหมือนนางเอกลิเก วิธีการแต่งหน้าแบบน้อย ให้เป็นธรรมชาติ และแก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้น โดยคุณแทบจะไม่รู้สึกว่าแต่งหน้าเลยด้วยซ้ำ




+ จมูกไม่โด่ง วิธีแก้ให้ดูจมูกโด่งขึ้นก็คือ ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนๆ ไล้ช่วงหัวคิ้วมากๆ เน้นนะว่าแค่เบาๆ เป็นเงาๆก็พอ อย่าหนักเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหน้าอาจกลายเป็นงิ้วได้ จากนั้นไล้ตั้งแต่ช่วงหัวคิ้วลงมาด้านข้างของสันจมูกจนถึงปลายจมูก และค่อยๆ เกลี่ยให้เข้ากับปีกจมูก ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน โดยให้สังเกตว่าเป็นเงาๆ ก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าใครที่มีปลายจมูกยาวอยู่แล้ว ก็ไม่ควรไล้ให้ถึงปลายจมูก แต่ควรไล้ตัดปลายจมูกแทน


+ แก้มตอบ แก้มตอบอาจทำให้คุณรู้สึกหน้าตาไม่สดชื่นได้ แต่จริงๆ อย่ากังวลกับจุดนี้มากไป วิธีแก้ง่ายมาก ขอแนะให้ใช้บลัชครีม หรือบลัชออนสีชมพู ชมพูอมส้ม หรือแดงเชอร์รี่ปัดแก้มเป็นวงกลมตรงส่วนที่นูนที่สุดของแก้มเหมือนกับเราดึงจุดเด่นของพวงแก้มออกมามากขึ้น อาจใช้บลัชออนแบบมีประกายกากเพชรนิดๆ เข้าไปด้วย จะทำให้แสงหักเหตรงพวงแก้มมากขึ้น แต่อย่าแรเงาตรงกรอบของขอบหน้าเด็ดขาด นั่นจะยิ่งทำให้แก้มดูตอบได้ แล้วเวลาเขียนอายแชโดว์ ไม่ต้องเขียนเส้นขอบตามากนัก มันจะยิ่งเน้นความคมสันของหน้า ให้ทาอายแชโดว์สีอ่อนๆ มีประกายทั่วเปลือกตาก็พอ ส่วนสีของปากให้ใช้ลิปสติกสีอ่อนๆ เข้าไว้ ถ้าใช้สีเข้ม เช่น สีน้ำตาล จะยิ่งทำให้หน้าเล็กลงไปได้อีก


+ แก้มเยอะ แก้มยุ้ยๆ น่ารักออก แต่ถ้าอยากแต่งหน้าให้เล็กลงและหน้ายังดูสดใสอยู่ ควรเลือกใช้บลัชครีม สีแดงเชอร์รี่และให้ลองแต้มที่กึ่งกลางแก้ม แตะวนเป็นกลมๆและใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยบลัชครีมขึ้นไปในแนวทะแยงจนถึงไรผมใกล้ๆขมับ เป็นการสร้างเฉดให้หน้า เงาตรงนี้จะทำให้หน้าดูเล็กลง และสีแดงของบลัชจะทำให้แก้มดูเหมือนมีเลือดฝาดแบบเด็กๆ น่ารักสดใสเป็นธรรมชาติ


+ ตาไม่ดึงดูด อยากให้ตาดูมีเสน่ห์มากขึ้น หน้าทั้งหน้าจะได้ดูเด่นขึ้นไปด้วย แนะนำให้ใช้อายแชโดว์สีชมพูอ่อนๆจะเป็นแบบมีประกายสีเงินวาวๆซ่อยอยู่ด้วยก็ดี ทาอายแชโดว์ไปตามแนวพับเพื่อเป็นการสร้างสีสันให้ดวงตา แล้วใช้อายไลเนอร์แบบดินสอ เลือกสีเขียวสดไปเลย เขียนให้ชิดเส้นขอบตาด้านบน เขียนให้เส้นโตๆหน่อย เพื่อทำให้ตาดูเด่นสะดุด แล้วปัดเฉพาะขนตาบนให้เด้งที่สุด ตาจะเก๋มีเสน่ห์ขึ้นมาทันที




+ คางเหลี่ยม และหน้าดูไม่มีมิติ ให้ลงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ก่อนเพื่อปรับสภาพผิวหน้า เพราะจะช่วยให้เกลี่ยบลัชครีมง่ายขึ้น ถ้าผิวเนียนอยู่แล้วไม่ต้องใช้รองพื้นเลย ใช้บลัชครีมโทนสีน้ำตาลเข้มหน่อยเพื่อให้หน้ามีแสงเงาขึ้น แต้มไปตามกรอบของหน้าโดยเน้นส่วนที่เป็นเหลี่ยมๆและส่วนของโหนกแก้มที่ทำให้หน้าดูแข็ง อย่าลืมแต้มตรงกรอบหน้าที่ติดกับไรผมด้วยนะ เวลาแต้มบลัชตรงแก้มให้แต้มเริ่มจากขมับไล่ไปตามแนว 45 องศา เข้ามาในหน้าจนถึงระดับกลางตาดำ จากนั้นค่อยๆใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ให้ดูกลืนกัน แค่นี้ก็จะเป็นการสร้างกรอบหน้าใหม่ให้ดูเข้ารูปและมีมิติขึ้นแล้ว




+ ตาเล็กและหนังตาตก สามารถทำให้ตาคมโตขึ้นได้ง่ายๆ คือ เริ่มจากเลือสีอายแชโดว์สองสี สีอ่อนและสีเข้มมาใช้สร้างรูปตาของเราให้ดูมีชั้น ใช้อายแชโดว์สีอ่อนทาทั่วเปลือกตาตามรอยพับก่อน อย่าลืมทาตรงช่วงโหนกคิ้วด้วยนะ แล้วใช้อายแชโดว์สีเข้มไล้ช่วงหางตาขึ้นไปเป็นแนวโค้งของเบ้าตา ถ้าสงสัยว่าเบ้าตาอยู่ตรงไหน ให้ส่องกระจกแล้วเลิกคิ้วดู จะเห็นกระบอกตาที่ดูลึกเข้าไป นั่นล่ะเบ้าตา ก็ไล้ไปตามแนวนั้นได้เลย จากนั้นใช้อายแชโดว์สีเข้มอันเดิม แตะน้ำนิดหน่อย แล้วใช้พู่กันเขียนลงให้ชิดเส้นขอบตาบน เน้นช่วงตรงหางตา แค่นี้ก็ทำให้ตาดูคมโตขึ้นแล้ว




แต่งหน้า พรางจุดด้อย ด้วยไฮไลต์ เสริมดวงตา


เพื่อเสริมให้ ดวงตา ดูเด่นขึ้นอย่างแท้จริงพิจารณาจุดเด่น และข้อบกพร่องของ ดวงตาให้ดี และใช้
ไฮไลต์ เพื่อเสริมจุดเด่นและพรางจุดด้อยของคุณ


ตาห่าง ทาที่กึ่งกลางรอยพับเปลือกตาเล็กน้อย มันจะส่องประกายแวบขึ้นมาในยามกระพริบตา

ตาชิด ทาไฮไลต์ที่หางตา เริ่มจากขอบนอกของลูกตาดำเกลี่ยออกไปข้างนอก เพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้ดูตาห่างกัน

เปลือกตาหนาหรือบวม แทนที่จะไฮไลต์ที่เปลือกตาและทำให้มันดูบวมขึ้นไปอีก ทาที่ใต้โค้งคิ้วเล็กน้อย เพื่อสร้างสมดุล

เปลือกตาเล็ก ทาชิมเมอร์ทั่วเปลือกตา จะทำให้เปลือกตาดูเต็มอิ่มขึ้น

เปลือกตาแบน เปลือกตาที่ไม่มีรอยพับเห็นชัดเจนจะดูดีขึ้น ถ้าทาไฮไลต์ที่หัวตา
(หนึ่งในสามของเปลือกตา) แล้วเกลี่ยขึ้นข้างบนหาโหนกคิ้ว









แต่งหน้า...ปิดสิว


เมคอัพอาร์ติสชื่อดังแห่งนิวยอร์ค Matin Maulawizada มาบอกเคล็ดลับง่ายๆ ในการแต่งหน้าเพื่อปกปิดสิวเม็ดเป้งที่เป็นอุปสรรคความสวยๆ ของสาวๆ เร็วเข้า...แต่ก่อนอื่น

เราต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง
1. คอนซีลเลอร์ชนิดแข็งละลายยาก Hard melts อาจมีลักษณะคล้ายลิปสติกในบางยี่ห้อ เนื่องจากผิวหนังบริเวณที่เป็นสิวจะมีความร้อนมากกว่าบริเวณอื่นบนใบหน้าซึ่งมีผลทำให้เครื่องสำอางละลาย ถ้าใช้ คอนซีลเลอร์ที่ละลายยากหน่อยก็จะดี และจะดีกว่านั้นถ้าหากใช้คอนซีลเลอร์ที่มีคุณสมบัติป้องกันการอักเสบของสิว


2. พู่กันทาปากหรือทาตาที่ยังไม่ได้ใช้ทาปากหรือทาตา


3. มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ชนิด Oil-Free ไม่มีสารความมัน
ปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้


Step 1 ทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์รอบๆ บริเวณสิว เพื่อว่าเวลาทาคอนซีลเลอร์จะได้ไม่ดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ


Step 2 เสร็จแล้วให้ใช้พู่กันแต้มคอนซีลเลอร์และแตะบริเวณรอบๆ สิว จากด้านนอกไปยังด้านใน อาจใช้นิ้วที่สะอาดทารอบๆเพื่อความกลมกลืน เสร็จแล้วรอจนกว่าคอนซีลเลอร์แห้ง


Step 3 ปัดแป้งเบาๆ บริเวณสิว และแต่งหน้าตามปกติแต่อย่าให้โดนบริเวณสิวมากเกินไป

ไข้หวัด2009 วิธีป้องกัน ไข้หวัดใหญ่ H1N1


วิธีป้องกัน ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด2009

วิธีการป้องกันตัวจาก ไข้หวัด2009 ความรู้เรื่อง ไข้หวัดใหญ่ แบบง่ายๆ (Pantip)โดย หมอแมว ไข้หวัด2009 หรือ ไข้หวัดใหญ่ ตามสื่อยังไม่เห็นบอกวิธีป้องกันตัว ไข้หวัด2009 แบบชัดๆ วันนี้หมอแมว มีข้อแนะนำ เรื่อง ไข้หวัด2009 มาฝาก ไข้หวัดใหญ่2009 ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ควรประมาท และในอนาคตอาจจะเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงกว่านี้ได้ และยังรวมไปถึงเรื่องโรคติดต่อทางเดินหายใจโรคอื่นๆ ที่ระบาดกันทุกๆ ปี และวันนี้หมอแมวขอนำเสนอเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เกี่ยวกับการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ที่จะช่วยให้คุณและสังคมรอบข้างรอดพ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ไข้หวัด2009




การแพร่เชื้อ ไข้หวัด2009 เกิดขึ้นได้ยังไง



เวลาเราหายใจ พูด ไอ หรือจาม จะมีละอองฝอยของหยดน้ำลอยออกมาจากร่างกายของเรา (Droplets) หยดน้ำเล็กเหล่านี้สามารถลอยฟุ้งไปในอากาศได้ และในระหว่างที่มันยังไม่ระเหยไปเชื้อโรค ไข้หวัด2009 ที่อยู่ในนั้นก็ยังสามารถแพร่ไปยังคนรอบข้างได้ ซึ่งระยะอันตราย คือ 1 เมตร ส่วนระยะการจามอาจจะไกลถึง 3 เมตร ดังนั้น ถ้าอยู่ใน กทม. แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะหลีกเลี่ยงละอองเหล่านี้









ถ้าไม่มีหน้ากาก ทำอย่างไรถึงจะป้องกัน ไข้หวัด2009

ถ้าไม่มีหน้ากากให้จามใส่ทิชชู่ จากนั้นก็ทิ้ง แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็ควรจะใช้อะไรมาบังปากไว้ แต่ปัญหาคือถ้าเราใช้มือ พอเราเดินไปก็จะเอาน้ำลายไปป้ายที่อื่นๆ ได้ ดังนั้น จึงขอแนะนำว่าเวลาไอ จาม ให้ไอ จาม ใส่ข้อพับแขน เป็นคำแนะนำที่กองควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกาแนะนำกัน







ใส่หน้ากากป้องกัน ไข้หวัด2009 อย่างไร

วิธีการใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน ไข้หวัด2009 อย่างถูกต้อง คือ การใส่แล้วทำให้อากาศผ่านตัวหน้ากาก เพราะหน้ากากจะได้กรองเอาละอองไป ส่วนการใส่หน้ากากที่ไม่มิดชิดหรือมีรูรั่วจะไม่เกิดประโยชน์ในแง่การกรองเลย อาจจะแค่ป้องกันละอองใหญ่ๆ ที่กระเด็นมาโดนหน้า







หน้ากากอนามัย ป้องกัน ไข้หวัด2009




1. ใส่ N95 แต่ใส่ไม่มิด...ป้องกันละอองไม่ได้ ไม่เท่

2. หน้ากากทักซิโด้ ไม่คลุมจมูก...ป้องกันไม่ได้ แต่เท่

3. หน้ากากแสงจันทร์...โอเค คลุมมิด พอป้องกันได้...ดูไม่เท่เท่าไหร่

จะเลือกเท่หรือเลือกติด ไข้หวัด2009 ก็ต้องเลือกเอา




เชื้อ ไข้หวัด2009 จะติดตามมือได้ไหม

บางคนอาจจะมองว่าเว่อร์เกินไปหรือเปล่า มาทำให้ตระหนก งั้นมาฟังเรื่องนี้… ชายพิการแขนขาขยับไม่ได้คนหนึ่ง ไปโรงพยาบาลเพื่อไปตรวจร่างกายตามนัดปกติ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้ตรวจหน้าท้องของชายคนนั้น เป็นหน้าท้องแห้งๆ ไม่ได้สกปรกอะไร คุณคิดว่าจะต้องล้างมือหรือไม่? ทั้งที่ไม่มีอะไรเปียกชื้น





คำตอบอยู่ในภาพ ชายพิการคนนั้นมีการตรวจพบว่ามีเชื้อ MRSA ซึ่งเป็นเชื้อโรคดื้อยาอยู่ในช่องจมูก และเมื่อเอามือเจ้าหน้าที่ที่ตรวจหน้าท้องไปป้ายเจลเพาะเชื้อ ก็พบว่ามีเชื้อ MRSA ซึ่งเป็นเชื้อดื้อยาอยู่จริงๆ ดังนั้น หวัด...แม้ว่าจะเป็นไวรัสซึ่งแตกต่างจาก MRSA แต่ว่ามันก็มีความเสี่ยงที่จะติดได้ ที่สำคัญ...ที่เราเน้นกัน เราไม่ได้ป้องกันแต่หวัดอย่างเดียว เราต้องการป้องกันโรคอื่นๆ ไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งการล้างมือนั้นช่วยได้



การล้างมือ การป้องกัน ไข้หวัด2009 ที่ถูกวิธีมีอย่างไร

จากการรณรงค์ให้ล้างมือเป็นเวลา 10 กว่าปี อุปสรรคสำคัญ คือ จำไม่ได้ว่าต้องล้างอย่างไร สมัย 10 ปีก่อน มีการล้างมือ 7 ขั้นตอน ซึ่งถ้าให้ท่องผมก็จำไม่ได้หรอก (แต่ทำเป็น) และคิดว่านั่นคือสาเหตุหนึ่งที่คนอาจจะยังไม่ชอบการล้างมือให้ถูกวิธี เพราะคิดว่ายุ่งยากจนเกินไป กับการมานั่งจำว่าต้องล้างอย่างไร

ภาพนี้เป็นภาพที่ผมเห็นภาพแรกๆ เมื่อสัก 10 ปีก่อน และค่อนข้างชัดเจน อาจจะนำไปลองหัดกันได้ แต่ถ้ารู้สึกว่ายังมากวิธีเกินไป เดี๋ยวเรามาดูวิธีอื่นกัน

การล้างมือ 6 ขั้นตอน ป้องกัน ไข้หวัด2009

กระทรวงสาธาณสุข วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล และหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุข ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนล้างมือให้ครบ 6 ขั้นตอน เพื่อลดการติดเชื้อ

วิธีล้างมือ 6 ขั้นตอน ป้องกัน ไข้หวัด2009

* หน้ามือ 2 ถูฝ่ามือซอกนิ้ว ปลายนิ้ว และลายเส้น

* หลังมือ 2 ถูหลังมือ ซอกนิ้ว เน้นข้อต่างๆ

* หมุน 2 หมุนหัวแม่มือ และข้อมือ อย่างเบาบาง จริงๆ มันมีแค่ 3 ขั้นตอนเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าเค้านับมือทั้ง 2 ข้าง แยกขั้นตอนกัน ดังนั้น ง่ายมากๆ เลย (รายละเอียดเข้าไปดูได้ที่นี่)

สรุปแล้วมาตรการแบบบ้านๆ ในการป้องกันเชื้อหวัดและเชื้อโรคที่มากับอากาศ มีดังนี้...


1. ไอ จามใส่ผ้าหรือกระดาษทิชชู่ (ใช้แล้วทิ้งให้เป็นที่)
2. ถ้าไม่มีจริงๆ ให้ไอ จามใส่ข้อพับแขน
3. ถ้ามีหน้ากากอนามัย ก็ให้คนที่ไอใส่
4. ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือ น้ำ + สบู่ โดยล้างตามขั้นตอนทั้ง 6
ล้างมือให้สะอาด ใส่หน้ากากอนามัย ป้องกันไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด2009 กันเถอะ